Pages

Sunday, May 15, 2011

คำถาม ๓ ข้อ

    พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถ 
แต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ.... 
พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการ ดังต่อไปนี้แล้ว 
จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ 

1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง 

2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย 

3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา 

พระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ 
จะได้รับรางวัลมหาศาล ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน.... 

คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำราตางเวลาที่แน่นอน 
สำหรับภารกิจแต่ละอย่าง ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ทุกๆ ปี 
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม.... 

คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้น 
แล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด 
แล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่าง 
จึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร.... 

คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจ ต่างๆ 
ที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง.... 
สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี "สภาแห่งคนฉลาด" และทำตามคำแนะนำของสภานั้น 
แต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้ 
ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น.... 
พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์ 

ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไป 
คนที่ 1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่ 
คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวช 
คนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบ 

คำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกัน 
คนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา 
คนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหาก 
คนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงคราม 
พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่ง 
ผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง.... 
ทั้งๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวย 
หรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนา 
และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา 
ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง 
พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น.... 
ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม 

เมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป.... 
เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้ว 
แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไป 
พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า 
"ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน 
ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ 
1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง 
2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย 
3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา 
ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่ 
่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไป 
จักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ".... 
ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น 
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด 
และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง.... 
ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบ 
และบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ....ฉันทำต่อไปได้แล้ว".... 
แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป 
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา 

จักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า 
"ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม 
หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม" 
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า 
"เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร 
ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิด 
ออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้อง 
เขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป.... 
ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิ 
และฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น.... 
จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล 
แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียว.... 
เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด 
จักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สอง 
และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล.... 

เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ 
จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง 
ขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว 
และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว.... 
ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อม 
และให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป 
จักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน.... 
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวัน 
และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า.... 
แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน 
และมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที... 
และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย 
พอเห็นจัรกรพรรดิ์ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า 
"ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย" 
"แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ 
"ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี 
พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้ 
และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาต 
ข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ 

เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง 
ข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ.... 
แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา 
แต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า 
พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บ 
แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่ 
ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว 
ข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก.... 
หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป 
และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย.... 
ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด" จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนัก 
ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย.... 

นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ 
ที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล.... 
จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย 
พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว 
จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้ง 
เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้ายและพบว่า 
ฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว้ 
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ 
"คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่" 
"อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง.... 

"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดิน 
ท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับ 
และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน 
ดังนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้น 
ก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน 
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน.... 
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน" 

"จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด.... 
ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป 
และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา 
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น 
ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา".... 

จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" 
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง 

บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ 
คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ 

และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข 
เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"....




ที่มา : เรื่องในหนังสือของตอลสตอย

No comments:

Post a Comment