Pages

Friday, May 27, 2011

วาสนา

ชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด

^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่
ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่ ^_^

Thursday, May 26, 2011

ความแตกต่างของนรก-สวรรค์

 เรื่องมีอยู่ว่า มีชาวเดนมาร์กคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ตกลงไปด้วย นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่งแล้วบอกว่า “ถึงนรกแล้ว” ที่นั่นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อย มีคุณค่าทุกประเภท มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า “นี่สัตว์นรก” คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลกแต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้
    แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ ต้องใช้ช้อนที่ยาว 1 เมตร ตักอาการกินเท่านั้น เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเองคนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก จึงผอมโซเพราะอดอาหารทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงปากของตนเองได้
   นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้วบอกว่า “ถึงสวรรค์แล้ว”
   ห้องที่ 2 นี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า “นี่เทวดาบนสวรรค์” แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย ดูว่าเขากินอาหารอย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาว 1 เมตรเหมือนกับที่นรก “เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก? ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง”
   พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
    คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนตรงข้าม คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้ ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
   สรุปว่า ที่นรกนั้น...คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น แต่ที่สวรรค์นั้น...มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน ^ ^'

Monday, May 16, 2011

เมียโง่

ตอนจีบกัน ทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมาก นี่นา เรียนก็ สูง หน้าที่การงานก็ดี ทำไมอยู่กันไป อยู่
กันมา กลับเป็น ว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้ นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัว ฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆ
นะเนี่ย ไม่ใช่ คุย ตอนเด็กๆสมัยประถมผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำ ชั้นอยู่เสมอๆ จะได้
รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียน ไทย ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุก วันนี้ แม้
เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ ตาม ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผม รู้จากนังเมียผม เพราะ
ผมสังเกตุเห็นนังเมียมันจะ ตบมือ ดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชม ไม่ขาดปาก ว่าเก่ง ยังโน้นเก่งยังนี้
เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม
ได้อย่างยอดเยี่ยมและเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผม มันกำหนดไว้ แถมบางครั้งยังมีเวลา
เหลือพอที่จะไปล้างส้วมได้ เสร็จทันเวลาอีกด้วย ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาด
มาก ความจริงนังเมียมันไม่บอก ผมก็รู้ อยู่แล้ว ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง ขนาดแอร์ ทีวี
ที่สมัยนี้เปิดปิด ง่ายๆ มัน ยังทำไม่เป็น รีโมท ตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่ เป็น มือซ้ายถือ
มันฝรั่ง มือขวาแก้วน้ำหวาน ปากก็บอก ว่า นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ แอร์ด้วย นะ ซัก 23 องศา”
แนะรีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่ เป็น มันโง่จริงๆผมเคยสอนให้ใช้หลาย ครั้ง ก็ยังทำไม่เป็น จนผม
รู้ ว่ามันสมองแต่ละคนไม่เท่ากัน จะให้มา เป็นเลิศแบบผมทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ เอ่อ แต่นังเมี
ยผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้าง นะ หยั่งเช่นว่าวันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมด แนะแถม
ยังจำแม่น บางเดือนเลื่อนออกเงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้ หมดแนะ ผมยังแปลกใจโง่ๆ
แบบนี้รู้ ได้ไง แต่ยังไงนังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผม หรอก มานั่งคอยจำ คอยเตือนเงิน เดือน ทุก
เดือนเสียเวลา ผมเลยเอา เลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย นังเมีย ยังชมผม
ไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก โธ่เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็ รู้ ” นังเมียหัวขี้ เลื่อย”
พูดถึงเรื่องแกล้งเมีย วันก่อนผม ก็มีวีรกรรมได้แกล้ง นังเมียโง่ของผม
ซะจายจิงๆ เรื่องมันมีอยู่ว่า อาทิตย์ ที่แล้วพาเมียโง่ ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ ได้ปลาดุก ย่าง
สะเดาน้ำปลาหวาน( ของโปรดผมคือหนังปลาดุก ) เผลอแป๊บเดียว( ผมอาบน้ำอยู่) นังเมี
ยโง่ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง ดูสิดูมัน ทำ ด้วยความฉลาดของผม เก็บความแค้น
อยู่ในใจ วันต่อมา ถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผม ไปจ่ายตลาด มันกำลัง ท้อง อยากกินมันเทศ
ต้ม ซื้อมา2 กิโล ถึงบ้านพอมันเผลอ ผมลงมือ แก้แค้นทันทีโดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว ผม
จัดการ ลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยง เหลือแต่เนื้อให้มัน เพื่อนๆ ครับ มันมาเจอถึงกลับตลึง
ทำท่าน้ำตา คลอ คงเจ็บใจผมจนพูดไม่ออกเลย
555 ให้มันรู้ซะบ้าง “นังเมีย โง่ “

การเดินทางของใจ

หากเปรียบสังสารวัฏเสมือนการเดินทางของใจอันเนิ่นนาน หาที่เบื้องต้นและที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อเราพบพระธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะดีไหมถ้าเราจะไปถึงจุดหมายที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้ ได้อย่างรวดเร็วและไม่เนิ่นช้า เสมือนดั่งการเดินทางในนิทานเรื่องหนึ่งดังจะแสดงต่อไปนี้

มีชายสี่คนเป็นเพื่อนรักกัน ทุกคนมีร่างกายพิการต่างๆกัน มีนายใบ้ นายหนวก นายบอด และนายอ่อนที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากปัญญาอ่อนนั่นเอง ทั้งสี่อาศัยอยู่ในบ้านร้างผุพังแห่งหนึ่ง

ทั้งสี่เป็นคนอยู่ในศีลในธรรมแต่มีฐานะยากจนมากเนื่องจากความพิการแต่กำเนิด เทวดาบนสวรรค์เห็นในความดีจึงได้แปลงกายเป็นชายชรามาหาชายทั้งสี่ในเช้าวันหนึ่ง

ชายชราผมขาวหนวดเครายาวเอ่ยขึ้นว่า”เออแน่ะพ่อหนุ่มข้าเห็นใจในความดีแต่ว่าต้องมามีสภาพชีวิตยากจนข้นแค้นแสนสาหัส
ถึงแม้จะพิการแต่ก็สามัคคีรักใคร่ช่วยเหลือกันดีเหลือเกิน ข้ามีแผนที่เดินทางไปสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ กว้างใหญ่ไพศาล เปรียบดังสวรรค์น้อยๆบนดินมีแต่เฉพาะคนดีๆมีเมตตา และเมื่อเจ้าไปถึงแล้วก็จะมีที่ดินทำกิน มีอาหารไม่ต้องอดๆอยากอย่างนี้อีก แต่ถึงจะมีแต่ความสุขความสบายก็ตาม แต่มีคนไม่มากนักที่จะสามารถฝ่าด่านอันยากลำบากไปถึงได้ เอ้านี่แผนที่รับไปซะ”

ทั้งสี่รับแผนที่มาด้วยความดีใจ กล่าวแสดงความขอบคุณกับชายชรา

นายบอดเจ้าปัญญาจึงถามว่า” เอ แล้วทางที่ไปนี่มันยากลำบากแค่ไหนล่ะครับ”

ชายชรา” จำคำของลุงไว้นะ หนทางนี้จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ถ้าอยากไปเร็วๆก็จะช้า ถ้าประมาทมัวแต่ชักช้าก็จะไปไม่ถึง ทางนี้เจ้าต้องเข้าไปในป่าทึบอันเป็นที่อยู่ของมาร และเส้นทางยังเป็นทางเขาวงกตอีกด้วย เธอต้องสังเกตว่าเดินวนอยู่กับที่ไม่ไปไหนหรือเปล่าตลอดเส้นทาง มารผู้รักษาจะมีอยู่ตลอดเส้นทาง มารนี้นอกจากจะมีฤทธิ์เดชแล้ว ยังรู้อีกว่าเราคิดอะไรอยู่ด้วย มันจะหรอกเราไม่ให้เดินต่อไปด้วยการล่อให้สงสัย หรอกให้หลงเผลินกับสิ่งต่างๆ มีแต่คนที่มีจิตใจมั่นคงและแน่วแน่เท่านั้นที่จะไปบนเส้นทางนี้ได้ ฉะนั้นจงจำไว้ให้ก้าวไปเรื่อยๆ จงเป็นคนช่างสังเกตถึงเส้นทางเขาวงกตนั้น และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าจะน่าพอใจเพียงใด ให้มีสติรู้ทันอย่าอยาก อย่าสงสัยให้มันผ่านเราไป มีความพยายามเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบ แล้วเส้นทางจะปรากฏชัดกับเธอเอง”เมื่อพูดจบชายชราก็เดินจากไป

ทั้งสี่คนจึงเริ่มออกเดินทางทันที ในวันแรกที่ออกเดินทางต้องเดินผ่านป่าทึบมารได้บันดาลให้ป่ารกทึบกลายเป็นอุทยานที่น่ารื่นรมย์ มีน้ำตกมีสวนดอกไม้ มีผลไม้สุกงอมมากมาย ทำให้คนทั้งสามยกเว้นนายบอดหยุดเดินทันที แต่แล้วนายบอดก็กล่าวขึ้นว่า

“อ้าวจะหยุดเดินกันทำไมล่ะ มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวก็ไปไม่ถึงไหนหรอก”

คนทั้งสามจึงได้สติเดินต่อไป
ต่อมาก็ถึงเมืองๆหนึ่งกำลังมีการแสดงดนตรีอยู่ เมื่อชายทั้งสามคนยกเว้นนายหนวกได้ยินก็เสมือนต้องมนต์หลงไหลเคลิบเคลิ้มกับเสียงดนตรีจนแทบสิ้นสติ จนนายหนวกต้องรีบดึงพวกเขาเพื่อเดินต่อไป

พอผ่านมาสักพักก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่สี่คนถืออาวุธมีทั้งหอกและดาบ มายืนด่าชายทั้งสี่อยู่ ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน ชายทั้งสามบันดาลโทสะ กำลังจะด่าตอบ แต่นายใบ้ก็รีบดึงข้อมือเพื่อนทั้งสามให้วิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

เมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง ก็มาถึงทางแยก ทางซ้ายเป็นทางเส้นใหญ่คงเป็นเพราะมีคนใช้เส้นทางนี้มากนั่นเอง เขียนไว้ว่า เมืองใหม่ สำหรับผู้ต้องการความร่ำรวย มีที่พักฟรี อาหารฟรี รักษาโรคฟรี อีกทางเป็นถนนเล็กๆ เขียนไว้ว่า เส้นทางสู่ป่าอันสงบเงียบ เมื่อทั้งสี่อ่านดูป้ายแล้ว ก็ปรึกษากันเป็นการใหญ่ ขณะที่ยังตกลงกันไม่ได้ นายอ่อนก็พูดขึ้นว่า

“แผนที่บอกว่าไปทางขวาก็ไปกันเหอะ มัวเถียงอะไรกัน อ่อนฟังแล้วไม่เข้าใจ” คนทั้งสามจึงได้สติ จึงเดินมุ่งสู่ป่าแห่งนั้น

จริงดังที่ชายชราบอก เมื่อเข้าสู่ป่าแล้วด้วยบรรยากาศอันเยือกเย็นลมพัดอ่อนๆสบายๆ ทุกคนก็รู้สึกหายเหนื่อยเมื่อยล้า ในป่ามีผลไม้ป่าสุกงอมหอมหวาน มีนกกาและสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยมากมาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าไม่ค่อยมีคนมารบกวน หรือเข้ามาวุ่นวาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนส่วนใหญ่มุ่งหวังความสุขสบายทางวัตถุในเส้นทางสายใหญ่มากกว่า ทุกสิ่งในป่านี้จึงยังคงเป็นสภาพเดิมของมัน

เมื่อออกจากป่าแล้วก็ไปมีที่ราบเชิงเขามีน้ำตกไหลลงมาเป็นลำธารและแอ่งน้ำ มีหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ ใกล้ๆ เมื่อเดินเข้าหมู่บ้านคนทั้งสี่ได้พบชายชราอีกครั้ง ท่านจึงกล่าวทักทายคนทั้งสี่ว่า

“โอ ข้าดีใจมากที่เจ้าสามารถมาถึงได้ ในเวลาอันรวดเร็ว ข้อขอแสดงความยินดีและต้อนรับสู่ดินแดนอันสงบและร่มเย็น”

“ทำไมพวกท่านจึงสามารถมาได้อย่างรวดเร็ว บางคนกว่าจะมาที่นี้ได้ใช้เวลานานหลายปีมาก บางคนชั่วชีวิตหนึ่งยังมาไม่ถึงเลย” ชายวัยกลางคน คนหนึ่งในหมู่บ้านถาม

“พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายทั้งสี่ตอบอย่างงงๆ

“แต่ว่าข้าพอนะรู้ นั้นข้าจะตอบให้ฟังนะ” ชายชราตอบ

"ในการเดินทางของพวกเจ้านี้ก็เหมือนการเดินทางของใจไปบนเส้นทางธรรม เคล็ดลับก็คือ การเดินทางด้วยสติสัมปชัญญะ เมื่อคนหนึ่งหลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปคิด ด้วยอำนาจของมารที่มาหลอกล่อให้ล่าช้าหรือหยุดเดิน ก็จะมีคนที่มาเตือนสติให้เดินต่อไป ซึ่งในคนธรรมดาจะไม่สามารถมีสติได้ทัน จึงใช้ชีวิตหมดไปกับความโลภ ความโกรธ ความหลง ในเรื่องต่างๆโดยไม่รู้ว่าตัวเองหลงอยู่ อีกทั้งคนทั่วๆไปยังมีแต่ความลุ่มหลงในวัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ฯลฯ จึงหมดเวลาในชีวิตชาติหนึ่งๆไปอย่างน่าเสียดาย ใช้ชีวิตโดยไม่ได้ทำให้จิตใจพัฒนาแต่อย่างใด มีแต่จะทำบาปกรรมให้จิตใจต่ำลง พวกที่พอจะคลายความลุ่มหลงในโลกและวัตถุลงบ้าง ก็ออกเดินทางมาตามสายพระธรรม แต่ก็มาติดใจสงสัยในนิมิต แสงสีเสียง หลงติดในความพอใจ ไม่พอใจในสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น บ้างก็ใจร้อนอยากให้ถึงไวๆ ก็เลยมีกิเลสเพิ่มขึ้นมาถ่วงความก้าวหน้าไว้ กว่าจะมีสติถอนความหลงผิดในเรื่องต่างๆก็ช้าและเนิ่นนานมาก ฉะนั้น การช่างสังเกตถึงกิเลสที่เข้ามาและการมีผู้ชี้นำที่ดี การมีสติในชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความไม่จงใจเพ่งกาย เพ่งใจจนเคร่งเครียด ทำแบบรู้ห่างๆแต่ไม่ห่างรู้ ขยันก็ทำไม่ขยันก็ทำไม่ต้องตั้งความหวังว่าจะต้องรู้ ต้องเห็น ต้องได้อะไรมา เพียงแต่มีอะไรก็รู้ พอรู้ก็ปล่อยวางไปเรื่อยๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทางของใจสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นที่ไม่เนิ่นช้า อันเป็นเป้าหมายในที่สุด”

พระศาสดากล่าวไว้ว่าเป็นบุญสูงสุดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าได้พบแล้วเดินทางแล้วก็ขอให้มีความเจริญในธรรม มีความพากเพียรอยู่ในธรรม มีความสงบเย็น และขอให้เป็นการเดินทางของใจที่ไม่เนิ่นช้านะครับ 

ที่มา : จินตนาการ

ไอ้ทุย...ช่วยด้วย..!!!!!!

เทิดศักดิ์.....ด๊อกเตอร์หนุ่ม...ดีกรีเมืองนอกคนหนึ่ง..
เพิ่งเรียนจบมาใหม่ ๆ
จึงเดินทางกลับประเทศไทย...

ด้วยฐานะร่ำรวย..เรียกว่า..มีหน้ามีตาในสังคม..
จึงอยากไปออกเที่ยวเปิดหูเปิดตา..ที่ต่างจังหวัด..
ก็ขับรถเบ๊นซ์คันโปรด..ไปเที่ยวอย่างสบายใจ..
เผอิญ..คิดถึงเพื่อนเก่า..
จึงอยากไปเยี่ยม...

ด้วยความทุระกันดารของบ้านนอกเมืองนา...
ถนนหนทางก็ลำบาก..
ช่วงนั้นหน้าฝนพอดี...
จึงทำให้รถของเทิดศักดิ์..ติดหล่ม..ไม่สามารถขับต่อไปได้...
พยายามอยู่นานแต่ก็ไม่เป็นผล...

ก็พอดี..ได้เวลาเลิกงาน...กลับบ้านกลับช่อง..
ของพี่น้องชาวไร่-ชาวนา..

เผอิญลุงหมู....จูงคอยมาพอดี...
เทิดศักดิ์จึงร้องขอ..ขอความช่วยเหลือ..
>>>…แต่ด้วยกำลังของลุงหมู..กับเทิดศักดิ์...
>>>…ก็ไม่สามารถดันแรงรถให้ขึ้นหล่มได้...

ลุงหมู..จึงคิดหาตัวช่วย...
>>>…...ได้การหละ...(เกิดไอเดียแบบชาวไร่ชาวนา)...
>>>…เดี๋ยวข้าให้...ไอ้ทุย..ของข้าช่วย..

ลุงหมูจึงผูกเชือกไว้ที่กันชนรถด้านหน้า...
พอผูกเสร็จ...
แกก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า...
>>>…เอ้า...ไอ้ดำ...ออกแรงหน่อย..
>>>…ไอ้เผือก...เร็ว ๆ..ออกแรงโว้ย..
>>>…เอ้า...เจ้าทุย...ดึงอีกนิด...เกือบแล้ว...เกือบแล้ว..
ไม่ถึง 2 นาที...
เจ้าทุย..ก็สามารถดึงรถเบ๊นซ์ของเทิดศักดิ์ขึ้นจากหล่มได้...

พอรถขึ้นจากหล่มได้...
เทิดศักดิ์..ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...
>>>…เอ๊ะ. !!!! ทำไม...ลุงหมูถึงได้เรียกชื่อควายตัวเดียวตั้งหลายชื่อ...?
>>>…เดี๋ยวเรียกไอ้ดำ..ไอ้เผือก..เจ้าทุย...???????

ลุงหมู...
>>>…อ๋อ...ที่ข้าเรียกมันหลายชื่อ...
>>>…มันไม่รู้..มันไม่เห็นหรอก...(มันตาบอด)...

>>>…สงสัย..เจ้าทุยมันคงคิดว่า...
>>>…คงมีควายเพื่อนมันอีกหลายตัวมาช่วย...(55555)...

==========================================

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..
คนเราไม่ใช่ว่าจะวัดที่ใบปริญญา..ว่าคุณจบมากี่ใบ..ระดับไหน..
แต่วัดกันที่คุณธรรม...ความมีน้ำใจ...
แม้ว่าลุงหมูแกจบแค่ ป. ๔ แต่แกก็มีน้ำใจ...และรู้จักแก้ปัญหา...
ในชีวิตของคนบ้างคน..บางครั้งเมื่อเจอปัญหา..ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้..
เหมือนเศษผงเล็ก ๆ ที่เข้าตาเรา...เรายังต้องอาศัยให้คนอื่นเขี่ยให้...
>>>…ดังนั้น..เวลามีปัญหา..เพื่อนของเราก็พร้อมมีน้ำใจแบ่งปันให้เสมอ...
>>>…อย่าลืม..ปรึกษาผู้รู้บ้าง...ไม่มีใครรู้ทั้งหมดทุกเรื่อง..
>>>…เรื่องบางเรื่อง...ลองถามเด็กอนุบาลดู...เราคิดได้ตอบได้..(จริง ๆๆ)...

หลวงตา...แว่นน้อย.. 

ที่มา : เรื่องเล่า...หลวงตา..น้อย

แว่นตาสีเขียว

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์ และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ

เขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่ สามารถ รักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้

หลายคนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐี ผู้นี้ แต่ไม่มีใคร สามารถ ทำให้
เขาดีขึ้นได้

อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ ฤาษีจึงบอก
กับท่านเศรษฐีว่า “โธ่เอ้ยวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว
นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลาแล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป ”

เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก
วันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสี หลายร้อยคน มาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด
นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้าให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่
ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใดก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลาตามคำแนะนำของฤา ษี
อาการปวดศีรษะของเขาก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น

สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า
'หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน'
ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด
ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า
'ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและ เวลามากมาย เพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆรอบตัวเจ้าเล่า
เราไม่ได้บอกให้เจ้าไปเที่ยวทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย
เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว'

หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง
เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน
แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

ที่มา : เรื่องจาก การพัฒนาศักยภาพอย่างสมบูรณ์ ดร. อาจอง

ปิดทองพระพุทธรูป

อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป 
...... นัยว่าพระเจ้ามหารถราช เสวยสมบัติ ในสักกราชาวดีนคร ท้าวท่านเป็นสัมมาทิฎฐิบุคคล 
คือมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับ พระเจ้าปัญจาลราช กษัตริย์กรุงปัญจาลราชนคร 
เป็นมิจฉาทิฎฐิบุคคล คือไม่นับถือพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทั้งสองเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย 
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชได้ส่งผ้ารัตนกัมพลผืนหนึ่งไปถวายพระเจ้ามหารถราช 
พระเจ้ามหารถราช ทอดพระเนตรเห็นผ้ารัตนกัมพล แล้วจึงตรัสว่าสหายเราส่งผ้าอันมีค่ามากมาให้เรา 
เราก็ควรจัดส่งแก้วอันประเสริฐไปให้ตอบแทนพระสหาย ดังนี้ พระเจ้ามหารถจึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่ง 
ใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆจะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี 
จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย จึงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้า 
ลงไปในแผ่นทองคำด้วยชาตหรคุณมีขนาดองค์ประมาณ 1 ศอก 
แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภาเพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช ก่อนที่จะส่งราชทูตไป 
พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ 
ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด 
พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรม 
มิได้มีความเชื่อความเลื่อนใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว 
ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฎฐิด้วยเถิด" 
อธิษฐานเสร็จแล้วเสด็จลงน้ำประมาณพระศอ(พระพุทธเจ้าอยู่บนเรือ 
ท่านจึงลงไปในน้ำซึ่งต่ำกว่า) เพื่อส่งรูปพระพุทธเจ้านั้นไปยังเมืองปัญจาลนคร 
ในขณะนั้น บรรดาแก้วอันเกิดในมหาสมุทรมีสีต่างๆก็ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อบูชา 
พระพุทธรูปนั้น พื้นน้ำงามวิจิตรด้วยแก้ว 7 ประการประหนึ่งพื้นแห่งภาชนะทอง ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้น 
เหนือพื้นน้ำพญานาคทั้งหลายก็ได้พานาคบริษัทออกจากนาคพิภพขึ้นมาสักการบูชาด้วยสุคันธมาลา เทวดาทั้งหลายก็เรี่ยราย ดอกไม้ทิพย์ลงมาจากอากาศ 
เมื่อราชทูตไปถึงกรุงปัญจาลนครแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าปัญจาล แล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์ ให้ 
ทราบโดยตลอด ท้าวเธอทรงโสมนัสปรีดาในเครื่องบรรณาการเป็นยิ่งนัก ได้เสด็จออกพร้อมจตุรงคเสนารับสั่ง 
ให้ชาวเมืองประโคมแตรสังข์ กังสดาล เสด็จไปยังท่าน้ำ ถวายนมัสการสักการบูชา แล้วเสด็จลงไปในน้ำประมาณพระศอ 
ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปแล้วทรงยินดีทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะ 

แล้วด้วยอำนาจความศัทธาของพระเจ้าปัญจาลราช และด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเจ้ามหารถราช 
พระพุทธรูปนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศเปล่งรัศมี 6 ประการ 
จับพื้นปฐพีตลอดจนถึงพรหมโลก กลบแสงแห่งอาทิคย์ กลบแสงรัศมีเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ณ กาลนั้น 
ในคราวนั้นพระอินทร์ ได้เสด็จลงมาถวายนมัสการพร้อมด้วยเทพบริษัท มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นหมู่มนุษย์ 
พระเจ้าปัญจาลราชเห็นปาฎิหาริย์เช่นนั้น ทรงโสมนัสยินดียิ่งนักได้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพระมนเทียร 
แล้วบูชาด้วยประทีปธูปเทียนชวาลา ทรงแสดงองค์เป็นอุบาสก 
ในเวลาต่อมาพระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้ในศาลาไม้บุณนาค 
แล้วรับสั่งให้ชาวเมืองพากันมาปิดทองพระพุทธรูป ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น 
เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส 
แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง 
พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทอง 
ปิดพระพุทธรูป 
เมื่อทองไม่พอจึงรำพึง "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน " 
ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้าแสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์ 
เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา 
เมื่อได้ ศัสตราวุธแล้วพระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ 
เกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป 
พระอินทร์ได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากร " 
ท่านจัดได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์ 
ในอนาคต " แล้วพระอินทร์ก็กลับสู่วิมาน 
พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์ 
เป็นอันมาก ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอันมโหฬาร

หมอชีวกโกมารภัจจ์

- ก็สมัยนั้น ในพระนครราชคฤห์ มีกุมารีชื่อสาลวดีเป็นสตรีทรงโฉมสคราญตาน่าเสน่หา
ประกอบด้วยผิวพรรณเฉิดฉายยิ่ง จึงพวกคนมีทรัพย์ชาวพระนครราชคฤห์ ได้คัดเลือกกุมารีสาลวดี
เป็นหญิงงามเมือง ครั้นนางกุมารีสาลวดี ได้รับเลือกเป็นหญิงงามเมืองแล้ว ไม่ช้านานเท่าไรนัก
ก็ได้เป็นผู้ชำนาญในการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงเครื่องดนตรี มีคนที่มีความประสงค์ต้องการตัว
ไปร่วมอภิรมย์ ราคาตัวคืนละ ๑๐๐ กษาปณ์ ครั้นมิช้ามินาน นางสาลวดีหญิงงามเมืองก็ตั้งครรภ์
จึงนางมีความคิดเห็นว่า ธรรมดาสตรีมีครรภ์ไม่เป็นที่พอใจของพวกบุรุษ ถ้าใครๆ ทราบว่าเรา
มีครรภ์ ลาภผลของเราจักเสื่อมหมด ถ้ากระไร เราควรแจ้งให้เขาทราบว่าเป็นไข้ ต่อมานางได้
สั่งคนเฝ้าประตูไว้ว่า นายประตูจ๋า โปรดอย่าให้ชายใดๆ เข้ามา และผู้ใดถามหาดิฉัน จงบอก
ให้เขาทราบว่าเป็นไข้นะ
คนเฝ้าประตูนั้นรับคำนางสาลวดีหญิงงามเมืองว่า จะปฏิบัติตามคำสั่งเช่นนั้น หลังจากนั้น
อาศัยความแก่แห่งครรภ์นั้น นางได้คลอดบุตรเป็นชาย และสั่งกำชับทาสีว่า แม่สาวใช้
จงวางทารกนี้ลงบนกระด้งเก่าๆ แล้วนำออกไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ
ทาสีนั้นรับคำนางว่า ทำเช่นนั้นได้ เจ้าค่ะ ดังนี้ แล้ววางทารกนั้นลงบนกระด้งเก่าๆ
นำออกไปทิ้งไว้ ณ กองหยากเยื่อ
ก็ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า เจ้าชายอภัย กำลังเสด็จเข้าสู่พระราชวัง ได้ทอดพระเนตร
เห็นทารกนั้นอันฝูงกาห้อมล้อมอยู่ ครั้นแล้วได้ถามมหาดเล็กว่า พนายนั่นอะไรฝูงการุมกันตอม
ม. ทารก พ่ะย่ะค่ะ
อ. ยังเป็นอยู่หรือ พนาย
ม. ยังเป็นอยู่ พ่ะย่ะค่ะ
อ. พนาย ถ้าเช่นนั้น จงนำทารกนั้นไปที่วังของเรา ให้นางนมเลี้ยงไว้
คนเหล่านั้นรับสนองพระบัญชาว่า อย่างนั้น พ่ะย่ะค่ะ แล้วนำทารกนั้นไปวังเจ้าชายอภัย
มอบแก่นางนมว่า โปรดเลี้ยงไว้ด้วย อาศัยคำว่า ยังเป็นอยู่ เขาจึงขนานนามทารกนั้นว่า ชีวก
ชีวกนั้น อันเจ้าชายรับสั่งให้เลี้ยงไว้ เขาจึงได้ตั้งนามสกุลว่า โกมารภัจจ์ ต่อมาไม่นานนัก
ชีวกโกมารภัจจ์ก็รู้เดียงสา จึงเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัย ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่เจ้าชายอภัยว่า ใครเป็น
มารดาของเกล้ากระหม่อม ใครเป็นบิดาของเกล้ากระหม่อม พ่ะย่ะค่ะ
เจ้าชายรับสั่งว่า พ่อชีวก แม้ถึงตัวเราก็ไม่รู้จักมารดาของเจ้า ก็แต่ว่าเราเป็นบิดาของเจ้า
เพราะเราได้ให้เลี้ยงเจ้าไว้.
จึงชีวกโกมารภัจจ์มีความคิดเห็นว่า ราชสกุลเหล่านี้แล คนที่ไม่มีศิลปะ จะเข้าพึ่ง
พระบารมี ทำไม่ได้ง่าย ถ้ากระไร เราควรเรียนวิชาแพทย์ไว้.
- ก็โดยสมัยนั้นแล นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ตั้งสำนักอยู่ ณ เมืองตักกสิลา
จึงชีวกโกมารภัจจ์ ไม่ทูลลาเจ้าชายอภัย ลอบเดินทางไปเมืองตักกสิลา เดินรอนแรมไปโดยลำดับ
ถึงเมืองตักกสิลา แล้วเข้าไปหานายแพทย์ผู้นั้น ครั้นแล้วได้กราบเรียนคำนี้แก่นายแพทย์ว่า
ท่านอาจารย์ กระผมประสงค์จะศึกษาศิลปะ
นายแพทย์สั่งว่า พ่อชีวก ถ้าเช่นนั้น จึงศึกษาเถิด.
ครั้งนั้นชีวกโกมารภัจจ์ เรียนวิชาได้มาก เรียนได้เร็ว เข้าใจดีด้วย และวิชาที่เรียน
ได้แล้วก็ไม่ลืม ครั้นล่วงมาได้ ๗ ปี ชีวกโกมารภัจจ์คิดว่า ตัวเราเรียนวิชาได้มาก เรียนได้เร็ว
เข้าใจดีด้วย ทั้งวิชาที่เรียนได้ก็ไม่ลืม และเราเรียนมาได้ ๗ ปีแล้วยังไม่สำเร็จศิลปะนี้ เมื่อไร
จักสำเร็จสักที จึงเข้าไปหานายแพทย์ผู้นั้นแล้วได้เรียนถามว่า ท่านอาจารย์ กระผมเรียนวิชาได้มาก
เรียนได้เร็ว เข้าใจดีด้วย ทั้งวิชาที่เรียนได้แล้วก็ไม่ลืม และกระผมได้เรียนมาเป็นเวลา ๗ ปี
ก็ยังไม่สำเร็จ เมื่อไรจักสำเร็จสักทีเล่า ขอรับ.
นายแพทย์ตอบว่า พ่อชีวก ถ้าเช่นนั้นเธอจงถือเสียมเที่ยวไปรอบเมืองตักกสิลา
ระยะทาง ๑ โยชน์ ตรวจดูสิ่งใดไม่ใช่ตัวยา จงขุดสิ่งนั้นมา
ชีวกโกมารภัจจ์รับคำนายแพทย์ว่า เป็นเช่นนั้นท่านอาจารย์ ดังนั้นแล้ว ถือเสียมเดินไป
รอบเมืองตักกสิลาระยะทาง ๑ โยชน์ มิได้เห็นสิ่งใดที่ไม่เป็นตัวยาสักอย่างหนึ่ง จึงเดินทางกลับ
เข้าไปหานายแพทย์ และได้กราบเรียนคำนี้ต่อนายแพทย์ว่า ท่านอาจารย์กระผมเดินไปรอบเมือง
ตักกสิลาระยะทาง ๑ โยชน์แล้ว มิได้เห็นสิ่งที่ไม่เป็นยาสักอย่างหนึ่ง
นายแพทย์บอกว่า พ่อชีวก เธอศึกษาสำเร็จแล้ว เท่านี้ก็พอที่เธอจะครองชีพได้
- ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงประชวรโรคริดสีดวง
งอก พระภูษาเปื้อนพระโลหิต พวกพระสนมเห็นแล้วพากันเย้ยหยันว่า บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวทรง
มีระดู ต่อมาพระโลหิตบังเกิดแก่พระองค์แล้ว ไม่นานเท่าไรนัก พระองค์จักประสูติ พระราชา
ทรงเก้อเพราะคำเย้ยหยันของพวกพระสนมนั้น ต่อมาท้าวเธอได้ตรัสเล่าความนั้นแก่เจ้าชายอภัยว่า
พ่ออภัย พ่อป่วยเป็นโรคเช่นนั้นถึงกับภูษาเปื้อนโลหิต พวกพระสนมเห็นแล้วพากันเย้ยหยันว่า
บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงมีระดู ต่อมพระโลหิตบังเกิดแก่พระองค์แล้ว ไม่นานเท่าไรนัก พระองค์
จักประสูติ เอาเถอะ พ่ออภัย เจ้าช่วยหาหมอชนิดที่พอจะรักษาพ่อได้ให้ทีเถิด
อ. ขอเดชะ นายชีวกผู้นี้เป็นหมอประจำข้าพระพุทธเจ้า ยังหนุ่ม ทรงคุณวุฒิ เธอจัก
รักษาพระองค์ได้
พ. พ่ออภัย ถ้าเช่นนั้นเธอจงสั่งหมอชีวก เขาจักได้รักษาพ่อ
ครั้งนั้นเจ้าชายอภัย สั่งชีวกโกมารภัจจ์ว่า พ่อนายชีวก เธอจงไปรักษาพระเจ้าอยู่หัว
ชีวกโกมารภัจจ์รับสนองพระบัญชาว่าอย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วเอาเล็บตักยาเดินไปในราชสำนัก
ครั้นถึงแล้วเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระเจ้าพิมพิสาร
จอมเสนามาคธราชว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจักตรวจโรคของพระองค์ แล้วรักษาโรค
ริดสีดวงงอกของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช หายขาดด้วยทายาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ครั้นพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทรงหายประชวรจึงรับสั่งให้สตรี ๕๐๐ นาง
ตกแต่งเครื่องประดับทั้งปวง ให้เปลื้องออกทำเป็นห่อแล้ว ได้มีพระราชโองการแก่ชีวกโกมาร-
*ภัจจ์ว่า พ่อนายชีวก เครื่องประดับทั้งปวงของสตรี ๕๐๐ นางนี้จงเป็นของเจ้า
ชี. อย่าเลย พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์จงทรงโปรดระลึกว่าเป็นหน้าที่ของข้าพระ-
*พุทธเจ้าเถิด
พ. ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงบำรุงเรากับพวกฝ่ายใน และภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ชีวกโกมารภัจจ์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการว่า เป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า.
- ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปัชโชตราชาในกรุงอุชเชนี ทรงประชวรโรคผอมเหลือง
นายแพทย์ที่ใหญ่ๆ มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคน มารักษา ก็ไม่อาจทำให้โรคหาย ได้ขนเงินไป
เป็นอันมาก ครั้งนั้น พระเจ้าปัชโชตได้ส่งราชทูตถือพระราชสาส์น ไปในพระราชสำนักพระเจ้า
พิมพิสารจอมเสนามาคธราช มีใจความว่า หม่อมฉันเจ็บป่วยเป็นอย่างนั้น ขอพระราชทาน
พระบรมราชวโรกาส ขอพระองค์โปรดสั่งหมอชีวก เขาจักรักษาหม่อมฉัน จึงพระเจ้าพิมพิสาร
จอมเสนามาคธราช ได้ดำรัสสั่งชีวกโกมารภัจจ์ว่า ไปเถิด พ่อนายชีวก เจ้าจงไปเมืองอุชเชนี
รักษาพระเจ้าปัชโชต
ชีวกโกมารภัจจ์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วเดินทางไปเมืองอุชเชนี เข้าไปใน
พระราชสำนัก แล้วเข้าเฝ้าพระเจ้าปัชโชต ได้ตรวจอาการที่ผิดแปลกของพระเจ้าปัชโชต แล้วได้
กราบทูลคำนี้แด่ท้าวเธอว่า ขอเดชะฯ ข้าพระพุทธเจ้าจักหุงเนยใส พระองค์จักเสวยเนยใสนั้น
พระเจ้าปัชโชตรับสั่งห้ามว่า อย่าเลย พ่อนายชีวก ท่านเว้นเนยใสเสีย อาจรักษาเรา
ให้หายโรคได้ด้วยวิธีใด ท่านจงทำวิธีนั้นเถิด เนยใสเป็นของน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน
สำหรับฉัน
ขณะนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความปริวิตกว่า พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้แล ทรงประชวร
เช่นนี้ เราเว้นเนยใสเสีย ไม่อาจรักษาพระองค์ให้หายโรคได้ เอาละเราควรหุงเนยใสให้มีสี
กลิ่น รส เหมือนน้ำฝาด ดังนี้ แล้วได้หุงเนยใสด้วยเภสัชนานาชนิด ให้มีสี กลิ่น รส
เหมือนน้ำฝาด ครั้นแล้วฉุกคิดได้ว่า เนยใสที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เสวยแล้ว เมื่อย่อย
จักทำให้เรอ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงเกรี้ยวกราด จะพึงรับสั่งให้พิฆาตเราเสียก็ได้ ถ้ากระไร
เราพึงทูลลาไว้ก่อน วันต่อมาจึงไปในพระราชสำนัก เข้าเฝ้าพระเจ้าปัชโชต แล้วได้กราบทูลคำนี้
แด่ท้าวเธอว่า ขอเดชะ ฯ พวกข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่าเป็นนายแพทย์ จักถอนรากไม้มาผสมยาชั่ว
เวลาครู่หนึ่งเช่นที่ประสงค์นั้น ขอประทานพระบรมราชวโรกาส ขอฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงมี
พระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพนักงานในโรงราชพาหนะและที่ประตูทั้งหลายว่า หมอชีวกต้องการ
ไปด้วยพาหนะใด จงไปด้วยพาหนะนั้น ปรารถนาไปทางประตูใด จงไปทางประตูนั้น ต้องการ
ไปเวลาใด จงไปเวลานั้น ปรารถนาจะเข้ามาเวลาใด จงเข้ามาเวลานั้น จึงพระเจ้าปัชโชตได้มี
พระราชดำรัสสั่งเจ้าพนักงานในโรงราชพาหนะและที่ประตูทั้งหลาย ตามที่หมอชีวกกราบทูลขอ
บรมราชานุญาตไว้ทุกประการ
ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปัชโชตมีช้างพังชื่อภัททวดี เดินทางได้วันละ ๕๐ โยชน์
จึงหมอชีวกโกมารภัจจ์ได้ทูลถวายเนยใสนั้นแด่พระเจ้าปัชโชตด้วยกราบทูลว่า ขอใต้ฝ่าละออง
ธุลีพระบาทจงเสวยน้ำฝาด ครั้นให้พระเจ้าปัชโชตเสวยเนยใสแล้วก็ไปโรงช้างหนีออกจากพระนคร
ไปโดยช้างพังภัททวดี ขณะเดียวกันนั้น เนยใสที่พระเจ้าปัชโชตเสวยนั้นย่อย ได้ทำให้ทรงเรอขึ้น
จึงพระเจ้าปัชโชตได้รับสั่งแก่พวกมหาดเล็กว่า พนายทั้งหลาย เราถูกหมอชีวกชาติชั่วลวงให้ดื่ม
เนยใส พวกเจ้าจงค้นจับหมอชีวกมาเร็วไว
พวกมหาดเล็กกราบทูลว่า หมอชีวกหนีออกจากพระนครไปโดยช้างพังภัททวดีแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า
ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปัชโชตมีมหาดเล็กชื่อกากะ ซึ่งอาศัยเกิดกับอมนุษย์ เดินทาง
ได้วันละ ๖๐ โยชน์ จึงพระเจ้าปัชโชตดำรัสสั่งกากะมหาดเล็กว่า พ่อนายกากะ เจ้าจงไปเชิญ
หมอชีวกกลับมา ด้วยอ้างว่า ท่านอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้เชิญท่านกลับไป ขึ้นชื่อว่า
หมอเหล่านี้แลมีมารยามาก เจ้าอย่ารับวัตถุอะไรๆ ของเขา
ครั้งนั้น กากะมหาดเล็กได้เดินไปทันชีวกโกมารภัจจ์ ผู้กำลังรับประทานอาหารมื้อเช้า
ในระหว่างทางเขตพระนครโกสัมพี จึงได้เรียนแก่ชีวกโกมารภัจจ์ว่า ท่านอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัว
รับสั่งให้เชิญท่านกลับไป
ชี. พ่อนายกากะ ท่านจงรออยู่เพียงชั่วเวลาที่เรารับประทานอาหาร เชิญท่านรับประทาน
อาหารด้วยกันเถิด
ก. ช่างเถิดท่านอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งข้าพเจ้าไว้ว่า พ่อนายกากะ ขึ้นชื่อว่า
หมอเหล่านี้มีมารยามาก อย่ารับวัตถุอะไร ของเขา
ทันใดนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ ได้แซกยาทางเล็บ พลางเคี้ยวมะขามป้อม และดื่มน้ำ
รับประทาน แล้วได้ร้องเชื้อเชิญกากะมหาดเล็กว่า เชิญพ่อนายกากะมาเคี้ยวมะขามป้อมและ
ดื่มน้ำรับประทานด้วยกัน จึงกากะมหาดเล็กคิดว่า หมอคนนี้แลกำลังเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำ
รับประทาน คงไม่มีอะไรจะให้โทษ แล้วเคี้ยวมะขามป้อมครึ่งผล และดื่มน้ำรับประทาน
มะขามป้อมครึ่งผลที่เขาเคี้ยวนั้นได้ระบายอุจจาระออกมาในที่นั้นเอง
ครั้งนั้น กากะมหาดเล็กได้เรียนถามชีวกโกมารภัจจ์ว่า ท่านอาจารย์ ชีวิตของข้าพเจ้า
จะรอดไปได้หรือ?
ชีวกโกมารภัจจ์ตอบว่า อย่ากลัวเลย พ่อนายกากะ ท่านจักไม่มีอันตราย แต่พระเจ้า-
*อยู่หัวทรงเกรี้ยวกราด จะพึงรับสั่งให้พิฆาตเราเสียก็ได้ เพราะเหตุนั้น เราไม่กลับละ แล้วมอบ
ช้างพังภัททวดีแก่นายกากะ เดินทางไปพระนครราชคฤห์ รอนแรมไปโดยลำดับ ถึงพระนคร
ราชคฤห์แล้วเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าพิมพิสารรับสั่งว่า พ่อนายชีวก เจ้าไม่กลับไปนั้นชื่อว่าได้ทำถูกแล้ว เพราะ
พระราชาองค์นั้นเหี้ยมโหด จะพึงสั่งให้สำเร็จโทษเจ้าเสียก็ได้
ครั้นพระเจ้าปัชโชตทรงหายประชวร ทรงส่งราชทูตไปที่สำนักชีวกโกมารภัจจ์ว่า เชิญหมอ
ชีวกมา เราจักให้พร
ชีวกกราบทูลตอบไปว่า ไม่ต้องไปก็ได้ พระพุทธเจ้าข้า ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
จงทรงโปรดอนุสรณ์ถึงความดีของข้าพระพุทธเจ้า.
ก็โดยสมัยนั้นแล ผ้าสิไวยกะคู่หนึ่งบังเกิดแก่พระเจ้าปัชโชต เป็นผ้าเนื้อดีเลิศ ประเสริฐ
มีชื่อเด่น อุดม และเป็นเยี่ยมกว่าผ้าทั้งหลายเป็นอันมาก ตั้งหลายคู่ ตั้งหลายร้อยคู่ หลายพันคู่
หลายแสนคู่
ครั้นนั้น พระเจ้าปัชโชต ทรงส่งผ้าสิไวยกะคู่นั้นไปพระราชทานแก่ชีวกโกมารภัจจ์
จึงชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความดำริว่าผ้าสิไวยกะคู่นี้ พระเจ้าปัชโชตส่งมาพระราชทาน เป็นผ้าเนื้อ
ดีเลิศ ประเสริฐ มีชื่อเด่น อุดม และเป็นเยี่ยมกว่าผ้าทั้งหลายเป็นอันมาก ตั้งหลายคู่
ตั้งหลายร้อยคู่ หลายพันคู่ หลายแสนคู่ นอกจากพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น หรือพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชแล้ว ใครอื่นไม่ควรอย่างยิ่งเพื่อใช้ผ้าสิไวยกะ
คู่นี้.
- ก็โดยสมัยนั้นแล พระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ
จึงพระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ กายของตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอัน
เป็นโทษ ตถาคตต้องการจะฉันยาถ่าย.
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เดินไปหาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะชีวก-
*โกมารภัจจ์ว่า ท่านชีวก พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ พระตถาคต
ต้องการจะเสวยพระโอสถถ่าย ชีวกโกมารภัจจ์กล่าวว่า พระคุณเจ้า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงโปรด
ทำพระกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื่นสัก ๒-๓ วัน
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ทำพระกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื่น ๒-๓ วันแล้ว
เดินไปหาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะชีวกโกมารภัจจ์ว่า
ท่านชีวก พระกายของพระตถาคตชุ่มชื่นแล้ว บัดนี้ ท่านรู้กาลอันควรเถิด
ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า การที่เราจะพึงทูลถวาย พระโอสถ
ถ่ายที่หยาบแด่พระผู้มีพระภาคนั้น ไม่สมควรเลย ถ้ากระไร เราพึงอบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยา
ต่างๆ แล้วทูลถวายพระตถาคต ครั้นแล้วได้อบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยาต่างๆ แล้วเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่หนึ่งแด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดก้านอุบลก้านที่ ๑ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้จักยัง
พระผู้มีพระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ ๒ แด่พระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดอุบลก้านที่ ๒ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้จักยังพระผู้มี
พระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ ๓ แด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดก้านอุบลก้านที่ ๓ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้จักยัง
พระผู้มีพระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง ด้วยวิธีนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายถึง ๓๐ ครั้ง
ครั้นชีวกโกมารภัจจ์ ทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณกลับไป ขณะเมื่อชีวกโกมารภัจจ์เดินออกไปนอกซุ้ม
ประตูแล้วได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เราทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ
๓๐ ครั้ง พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่าย
ครบ ๓๐ ครั้ง จักให้ถ่ายเพียง ๒๙ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจักสรงพระกาย ครั้นสรง
พระกายแล้ว จักถ่ายอีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของชีวกโกมารภัจจ์ด้วยพระทัยแล้ว
รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ ชีวกโกมารภัจจ์ กำลังเดินออกนอกซุ้มประตูวิหารนี้
ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เราถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว
พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง
จักให้ถ่ายเพียง ๒๙ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้วจักถ่ายอีก
ครั้งหนึ่ง อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง อานนท์ถ้าอย่างนั้น เธอจงจัดเตรียม
น้ำร้อนไว้
พระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว จัดเตรียมน้ำร้อนไว้ถวายต่อมา ชีวกโกมารภัจจ์
ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วหรือ พระพุทธเจ้าข้า
ภ. เราถ่ายแล้ว ชีวก
ชี. พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังเดินออกไปนอกซุ้มประตูพระวิหารนี้ ได้มีความ
ปริวิตกดังนี้ว่า เราถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว พระกายของ
พระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง
แต่พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจักสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้วจักถ่ายอีกครั้งหนึ่งอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงโปรดสรงพระกาย
ขอพระสุคตจงโปรดสรงพระกาย
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรงน้ำอุ่น ครั้นสรงแล้ว ทรงถ่ายอีกครั้งหนึ่งอย่างนี้
เป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง ลำดับนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้กราบทูลคำนี้แด่
พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคไม่ควรเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยน้ำต้มผัก
ต่างๆ จนกว่าจะมีพระกายเป็นปกติ
ต่อมาไม่นานนัก พระกายของพระผู้มีพระภาคได้เป็นปกติแล้ว.
ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ ถือผ้าสิไวยกะคู่นั้นไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วถวายบังคม
พระผู้มีพระภาค นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ชีวกโกมารภัจจ์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลคำนี้
แด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะขอประทานพรต่อพระผู้มีพระภาคสักอย่างหนึ่ง พระพุทธ-
*เจ้าข้า
ภ. พระตถาคตทั้งหลายเลิกให้พรเสียแล้ว ชีวก
ชี. ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพรที่สมควรและไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า
ภ. จงว่ามาเถิด ชีวก
ชี. พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคและพระสงฆ์ทรงถือผ้าบังสุกุลเป็นปกติอยู่ ผ้า
สิไวยกะของข้าพระพุทธเจ้าคู่นี้ พระเจ้าปัชโชตทรงส่งมาพระราชทาน เป็นผ้าเนื้อดีเลิศ ประเสริฐ
มีชื่อเสียงเด่นอุดม และเป็นเยี่ยมกว่าผ้าทั้งหลายเป็นอันมาก ตั้งหลายคู่ ตั้งหลายร้อยคู่
หลายพันคู่ หลายแสนคู่ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระกรุณาโปรดรับผ้าคู่สิไวยกะของข้า
พระพุทธเจ้า และขอจงทรงพระพุทธานุญาตคหบดีจีวรแก่พระสงฆ์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคทรงรับผ้าคู่สิไวยกะแล้ว ครั้นแล้วทรงชี้แจงให้ชีวกโกมารภัจจ์ เห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นชีวกโกมารภัจจ์ อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง
ให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณกลับไป.

สาธุ...จบแล้วครับ...โชคดีครับ.

สุขไม่ได้สอน แต่ทุกข์สอน

ในวัยหนุ่ม(เหลือ)น้อย ของผม รู้สึกว่าน่าจะมีอะไรแบ่งปันกันได้ในแง่คิดดีๆ และเมื่อคิดทบทวนดูชีวิตของผมมีต้นทุนเป็นความทุกข์ชนิดที่คงไม่มีใครอิจฉาแต่อย่างใด และนี่คือสิ่งที่คุณครูแห่งความทุกข์ได้บรรจงสอนผมอย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด 

1. ความทุกข์ทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น กินง่ายๆ อยู่ง่ายๆคนเราแค่มีปัจจัยสี่พอประมาณ มีสุขภาพเป็นปกติก็มีความสุขแล้ว สิ่งอื่นๆเป็นส่วนเกิน ยิ่งหา ยิ่งแบก ยิ่งมีภาระมาก 

2. ความทุกข์สอนให้เรามีน้ำใจ คนที่ขาดแคลนเคยลำบากย่อมต้องมีจิตใจที่เข้าใจคนที่เคยมีความทุกข์ด้วยกัน ย่อมมีน้ำใจ อยากช่วยเหลือคนอื่น มากกว่าคนที่ไม่เคยลำบาก ชีวิตสุขสบาย ยิ่งเรายิ่งให้ได้มากเราก็ยิ่งมีความสุข 

3. ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนกตัญญู ทุกคนที่เคยช่วยเหลือเรา 
จากความยากลำบาก ล้วนมีพระคุณที่เราควรตอบแทน 

4. ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนมีความอดทน ทนได้ต่อความทุกข์ 
ทนได้ต่อความยากลำบาก ทนได้ต่อช่วงเวลาที่ยาวนานของความทุกข์ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหมดสิ้น ไปจากชีวิต 

5. ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนแกร่ง ไม่ย่นย่อต่อความลำบาก เหมือนเหล็กร้อนที่ผ่านไฟย่อมแข็งแกร่งขึ้น คนที่เคยลำบาก แล้วผ่านมาได้ด้วยความอดทนพยายาม จะไม่กลัวต่อความยากลำบาก เหมือนที่คนโบราณกล่าวว่า”ลำบากเสียให้เคย แล้วจะไม่ลำบากอีก” 

6. ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ เพราะว่าคนที่ยืนได้ด้วยขาของตัวเอง เคยลำบากมาก่อน ย่อมไม่คิดจะหลอกลวงใคร เพราะทุกคนก็ล้วนมีความทุกข์มากบ้างน้อยบ้าง ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่ เจ็บตาย เราไม่อยากคดโกงผู้ใดให้เขาต้องทุกข์ขึ้นไปอีก การคดโกงในปัจจุบันแล้วทำให้ความสุขลดน้อยจากบาปในใจหรือต้องใช้กรรมในภายหลัง ไม่คุ้มกันเลย 

7. ความทุกข์สอนว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่จีรังยั่งยืน ความทุกข์มาแล้วก็ไป ความสุขมาแล้วก็ไป ร่างกายนี้เป็นที่มาของความทุกข์ ความคิดความรู้สึกก็เป็นที่มาของความทุกข์ ความสุขแบบโลกๆ อยากได้อะไรแล้วก็ได้มา ก็เป็นแค่การบรรเทาทุกข์ที่มีให้น้อยลงไปแค่นั้นเอง สักพักก็ต้องอยากและมีความทุกข์อีก 

8. เมื่อตกอยู่ในความทุกข์ ทุกอย่างเป็นจริงเป็นจังหนักหนาสาหัสถึงขั้นปลิดชีวิตเราได้ แต่เมื่อผ่านความทุกข์นั้นมา ความทุกข์นั้นก็เสมือนดังฝันร้ายไม่ได้เกิดขึ้นจริง แถมเมื่อมองย้อนกลับไปและตอบตัวเองอย่างมีสติ กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของความทุกข์เป็นความคิดแง่ลบและความวิตกกังวลเกินเหตุ การไม่เข้าใจโลกตามที่เป็นจริงมากกว่า 

9. ความทุกข์สอนให้เราเป็นคนที่ไม่แสดงความกร่าง แสดงความยึดติดในความคิดของตัวเองมากจนเกินไป คนจนๆ คนไม่ค่อย 
มีโอกาสในสังคม เป็นคนที่เจียมเนื้อเจียมตัว รู้จักกาลเทศะ รู้จักสิ่งที่ควรไม่ควรเสมอ 

10. เงินทองและความสำเร็จในทางโลกเป็นแค่ปัจจัยในการอยู่ในสังคมแค่นั้น บุญกุศลและความสุขจากการภาวนา จึงจะเป็นความสำเร็จที่แท้จริง คนที่มีเงินร้อยล้านพันล้าน ที่กำลังใกล้ตาย ก็เอาเงินซื้อเวลาสักวินาทีก็ไม่ได้ ซื้อความสุขจากความทุกข์ทรมานก็ไม่ได้เลย ไม่มีใครช่วยเราได้เมื่อมีความทุกข์ การกระทำหรือบุญที่คิดถึงแล้วมีความสุขความสงบ จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ 

ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องเจอ การมีความทุกข์เสมือนเราได้ต้นทุนในชีวิตที่มีค่าอย่างยิ่ง ขอเพียงเรามีความอดทนไม่ยอมแพ้มัน การเรียนรู้ความทุกข์ด้วยการหาที่พึ่งอันได้แก่ธรรมะ การมีสติ สิ่งที่เราได้เรียนรู้ต่อมานั้นคือปัญญา จะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะติดตัวเรา อันนำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จ ได้ตลอดชีวิต 

นี่คือสิ่งที่”สุขไม่ได้สอนแต่ความทุกข์สอน"ครับ 

เคล็ดลับสู่ความสุข

หลาน “ตาครับ ผมเรียนใกล้จะจบแล้ว ดีใจมากๆเลยครับ”

ตา “เออ ตาก็ดีใจด้วยนะ ที่หลานจะได้เป็นผู้ใหญ่รู้จักทำงาน
ไม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้เสียที แต่หลานรักของตา ตาอยากฝากเคล็ดลับสู่ความสุขและความสำเร็จในการใช้ชีวิตให้หลาน หลานตั้งใจฟังตานะ”

หลาน “ครับตา”

ตา “คนเราทุกคนปราถนาความสุขกันอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของทุกคน ถ้าหลานอยากมีความสุขและประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงต้องมี 3 พ.นะหลาน
จำไว้นะ หรือจำง่ายๆก็คือถ้าไม่รู้จักพอก็หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้
พ.ที่หนึ่ง พากเพียรเรียนรู้ พ.ที่สอง พอดี พ.ที่สาม พ้นทุกข์ ง่ายๆแค่นี้เอง”
หลาน “ตาช่วยอธิบายหน่อยครับ”

ตา“พ.ที่หนึ่ง พากเพียรและเรียนรู้ตลอดชีวิต ความสำเร็จของชีวิตกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์นี้มาจากความเพียรทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีเงินทองโดยไม่ต้องทำอะไร เพราะคงไม่มีใครจ้างเราให้ไปอยู่เฉยๆ คนที่ไม่มีความเพียรบางครั้งก็เป็นอาจกลายเป็นคนไม่มีน้ำใจเพราะไม่อยากมีภาระเพิ่ม ทำงานก็ทำแบบสุขเอาเผากิน ไม่พัฒนาฝีมือความสามารถเพราะมองที่เงินเดือนที่ได้รับมากกว่า เมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็พลอยช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ ถึงมีชีวิตคู่ คนที่อยู่ด้วยก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย

อีกข้อก็คือการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพราะชีวิตคือการศึกษาและพัฒนาความรู้ความสามารถ ความรู้ที่เจ้าเรียนจบนี้ก็เป็นเพียงวิชาที่จะใช้ทำงานเลี้ยงชีพ
เท่านั้น แต่เรายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เรื่องอีกมากมายตลอดชีวิต เพราะโลกนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความรู้ก็ไม่ได้อยู่เฉพาะในห้องเรียน แต่อยู่ในชีวิตประจำวัน ในหน้าที่การงาน ในสังคมรอบข้างอีกด้วย เพียงแต่เราเปิดใจให้กว้างไม่เป็นคนแบบที่เขาว่าเป็นชาล้นถ้วย ยิ่งรู้มากเท่าใดโลกก็จะเปิดกว้างกับเรามากเท่านั้น จงทำงานทุกๆงานด้วยความรักและใส่ใจในทุกๆงานที่ทำ เมื่อตัวของเรามีความรู้ความสามารถหลายๆด้าน แล้ว ตัวเรานี่แหละจะสามารถเลือกทำงานที่เรารักและเหมาะกับตัวเรามากที่สุดในภายหลัง จำไว้ว่าอย่าผลักชีวิตเข้าไปในมุมที่แคบที่สุดหรือทางตันเพราะคำว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่จงเรียนรู้และพัฒนาดัวเองในทุกๆงาน เหมือนเดินออกจากมุมมืดหรือทางตันเปิดสู่โลกกว้าง แล้วเราค่อยวางตัวเองลงไปในจุดที่เราสามารถทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมที่สุดต่อตนเองสังคมและประเทศชาติในที่สุด แล้วเราก็จะมีความสุขกับการที่เราได้ทำงานที่เรารักทุกๆวัน หลานฟังตาพูดแล้วอาจขัดๆกับที่เขาสอนกันนะ แต่จากประสบการณ์ตาว่าทำแบบนี้ทำให้เราได้รู้กว้างขวาง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชอบหรือไม่ถ้าเราไม่ได้ลองทำดู แค่เห็นๆแค่คิดๆเอาเอง ไม่เคยลงมือทำหรือสัมผัสด้วยตัวเองไม่พอหรอก”

หลาน “ผมว่าที่ตาพูดน่าจะถูกกว่านะครับ แล้วข้อต่อไปล่ะครับ”

ตา “พ.ที่สอง พอดี คำว่าพอดีนี้เข้าใจยากที่สุด เป็นศาสตร์และศิลป์แห่งการใช้ชีวิตชั้นสูงทีเดียว ทำอย่างไรจึงจะพอดีระหว่างการกินกับการออกกำลังกาย การทำงานกับการพักผ่อน ยามร่างกายแข็งแรง
หรือเจ็บป่วย หรือแม้ในยามร่างกายแก่ชราลงตามวัย เราต้องหาจุดสมดุลให้ได้ทุกๆวัน เพื่อให้ร่างกายอันเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของเรา แข็งแรงและสมดุล ตลอดชีวิต เพื่อให้ห่างไกลจากโรคต่างๆมากที่สุด

ชีวิตนี้มีความต้องการเป็นลำดับขึ้นไป 5 ขั้น ตามที่มาสโลว์กล่าวไว้คือ ข้อหนึ่งต้องการปัจจัยสี่เพื่อความอยู่รอด ข้อสองต้องการความปลอดภัยในชีวิต ขัอสามต้องการมีความรักและความเป็นเจ้าของ ข้อสี่ต้องการยอมรับนับถือย่อง และข้อห้าต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงอันเป็นจุดสุดท้ายที่เป็นเป้าหมายของมนุษย์หรือการเข้าถึงความสุขที่แท้จริงนั่นเอง

ลำดับทั้งห้าบอกเราว่าจุดที่เรียกว่า พอดี ในความรู้สึกของเราไม่ใช่จุดที่อยู่นิ่ง แต่เป็นจุดที่เปลี่ยนไปตามลำดับขั้นของชีวิต เมื่อได้ขั้นหนึ่งจึงพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง จุดที่เรียกว่า พอดี อยู่ในใจของเราเมื่อเรารู้สึกว่าสมเหตุสมผลถูกธรรมนองคลองธรรมในการได้มา ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต รู้จักหักห้ามใจไม่พอใจหรือเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไป เพราไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ยศศักดิ์ นินทา หรือ สรรเสริญล้วนมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนๆหนึ่งตลอดเวลา การติดยึดไม่ปล่อยวางนำมาซึ่งความทุกข์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะมาดึงดูดชีวิตเราให้ไกลจากความพอดี ความพอดีนี้เสมือนการได้รู้และปล่อยวางมากกว่า เพื่อที่เราจะได้พัฒนาจิตใจของเราให้ไปถึงขั้นที่สูงๆขึ้นไป” ตานิ่งหยุดพักเหนื่อยครู่ใหญ่

หลาน “แล้วข้อสุดท้ายหล่ะ ผมอยากฟังแล้วครับ”

ตายิ้มพร้อมพูดต่อ“ พ.ที่สาม พ้นทุกข์หรือเรียกอีกอย่างว่ามีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกนั่นเอง ไม่ว่าเราจะผ่านระดับความต้องการมาได้กี่ขั้นจะมีฐานะร่ำรวยหรือยากจน จะมีเกียรติหรือไร้เกียรติแค่ไหนก็ตาม เราสามารถมาถึงขั้นที่ห้าคือความเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงได้เลย เพราะในพุทธศาสนาของเรามีคำสอนเกี่ยวกับการศึกษากายและใจเพื่อเข้าใจตนเองอยู่อย่างครบถ้วนแต่ก็มีคนมากมายมาไม่ถึงจุดนี้ เพราะยังมีความเห็นไม่ถูกต้องกับชีวิตบ้าง ด้วยความประมาทมัวเมาบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเสียเวลาในการหาทรัพย์สินเงินทอง หาชื่อเสียง ฯลฯหรือหลงอยู่ในอบายมุขต่างๆ จนหมดเวลาในชีวิตในชาติหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย จะมีประโยชน์อะไรถ้าเรามีเงินหลายล้ายบาทแต่ไม่มีเวลาพอที่จะหาความสงบสุขให้จิตใจ เกิดมาทั้งชาติแต่ไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นได้เลย ยังเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความทะยานอยาก เหมือนเดิม แล้วเมื่อไหร่จะหาความสุขที่แท้จริงได้เสียที

ฉะนั้นสิ่งที่ตาจะเน้นย้ำกับหลานก็คือ ให้ศึกษาการทำงานให้กว้างขวางที่สุดตามที่ได้เรียนมา ศึกษาและพัฒนาความรู้ให้ทันโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลง เรียนรู้สุขและทุกข์ที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่มีค่า หาจุดที่พอดีให้เจอทุกๆวัน ศึกษาธรรมะตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพื่อความไม่ประมาท ใช้ธรรมเป็นเครื่องชี้นำชีวิตและเป็นเป้าหมายสูงสุดที่เราควรจะไปให้ถึง ไม่ว่าคนอื่นเขาจะเห็นว่าชีวิตควรเป็นอย่างไร แต่เราในฐานะชาวพุทธมีศาสดาที่รู้แจ้งถึงที่สุดและสอนเป้าหมายชีวิตและวิธีปฏิบัติไว้อย่างชัดเจนแล้ว ขอเพียงเราปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เท่านั้น ชีวิตของเราก็จะรู้จักคำว่าพอดี มีความสงบสุขทางจิตใจ ดำรงชีวิตอันจะมีประโยชน์ต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ตามความรู้ความสามารถที่พัฒนามาดีแล้ว ทำได้อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่ามิได้ปล่อยเวลาอันมีค่าในชีวิตให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์เลย”

หลาน“ครับตา ผมจะจดจำไว้ ครับ” หลานตรงเข้าไปกอดตาไว้ด้วยความรู้สึกรักและเคารพ



ที่มา : จินตนาการ

ทำไมโลกนี้ถึงมีความมืด

ก่อนนอนในค่ำคืนหนึ่งท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าว
ลูกชายและคุณพ่อเพิ่งเข้านอนได้ไม่นาน

ลูก “พ่อครับทำไมโลกนี้ถึงมีความมืดล่ะครับผมอยากให้มีแต่ความสว่างและเย็นสบาย
จะได้มีแต่ความสุขทั้งวันเลย”

พ่อ “ที่มีความมืดก็เพราะว่าโลกนี้มีความสว่างนะซิลูก”

ลูก “หนูไม่เข้าใจ ทำไมมีความสว่างแล้วต้องมีความมืดด้วย”

พ่อ “สมมุติว่าถ้าโลกนี้ไม่เคยมีแสงสว่างมาก่อน หรือว่าเราตาบอดแต่กำเนิด เราไม่เคยเห็นแสงใดๆมาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย ความรู้สึกที่เราไปให้ค่าสิ่งหนึ่งมากกว่าสิ่งหนึ่งนั่นแหละคือปัญหา

มองในอีกแง่มุมหนึ่ง ธรรมชาติก็คือความสมดุล ความสมดุลก็คือไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงถ่ายเทเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ซึ่งทำให้คนเรายังดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ เช่นเมื่อมีมืดแล้วก็มีสว่าง มีหนาวเย็นแล้วก็มีอบอุ่น มีแห้งแล้งแล้วก็มีฝนตก มีความเจริญเต็มที่แล้วก็มีความเสื่อมลง
มีทุกข์แล้วก็มีสุข มีกลางคืนให้เราผักผ่อนหลับนอน แล้วก็มี รุ่งเช้าวันใหม่อันสดใสให้เราได้ชื่นชมทุกๆวันไงล่ะ

พ่อ"แล้วลูกลองคิดดูซิว่า ถ้าโลกนี้มีแต่ความสว่างโลกนี้จะเป็นอย่างไร?”

ลูก “หนูจะได้ไม่ต้องนอนไง จะได้เล่นทั้งวันทั้งคืนเลย”

พ่อ “ใช่แล้วลูกการมองสิ่งต่างๆด้านเดียวอย่างที่ลูกมองนั้นแหละทำให้ลูก ไม่อยากให้มีกลางคืน แต่ รู้ไหมล่ะว่าถ้ามีแต่กลางวันเราก็จะไม่อยากนอนผักผ่อนเลยเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น แล้วถ้าทุกคนต่างทำงานหรือก็ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ตลอดทั้งวัน บางคนก็คงเผลอไม่ได้นอนทีละหลายๆวัน แล้วก็คงจะมีเด็กนอนหลับในห้องเรียนแทนที่บ้าน หรือมีอุบัติเหตุตามท้องถนนมากมาย ถ้าเราหาความสุขกันโดยไม่คำนึงถึงสภาพร่างกายๆ เราก็จะทรุดโทรมอ่อนแอซักแค่ไหน

ถ้าพ่อแม่และลูกๆต่างแยกกันไปไม่มีเวลามืดค่ำแล้วครอบครัวเราจะได้มาเจอกันตอน
ไหน ปัญหาที่เกิดจากไม่มีเวลาให้กันและกันในและความไม่สนใจกันและกันของคนในสังคมทุกวันนี้ อยากทำอะไรตามใจ นี่แหละคือต้นเหตุของปัญหาใหญ่ที่เราเจอในสังคมตอนนี้”

ลูก “แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีเมื่อต้องอยู่ในความมืดล่ะครับ?”

พ่อ “ถ้าลูกสังเกตจะพบว่าช่วงเย็นๆค่ำๆเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวเราจะได้มาเจอกันพร้อมหน้าทานอาหารได้พูดคุยได้ดูทีวีพร้อมกัน คุยกัน ปรึกษากัน ทำให้ครอบครัวอบอุ่นเพราะได้อยู่ใกล้ชิดกัน

ก่อนนอนก็ เป็นช่วงเวลาของความสงบเงียบเป็นเวลาที่เราจะได้อยู่กับ
ตัวเองอย่างแท้จริงหลังจากที่เราไปทำหน้าที่ของตนเอง ต้องผ่านเรื่องราวมากมายทั้งดีและร้าย ลูกต้องตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิทำใจให้บริสุทธิ์ให้จิตเป็นกุศล ปล่อยวางสิ่งไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความเกลียดชัง ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลาย ออกไปจากใจของเรา ลูกจะได้ไม่สั่งสมเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในอดีตให้มาทำร้ายจิตใจ ฝึกสติให้ว่องไว เพื่อที่จะรู้เท่าทันกิเลสที่จะมายั่วใจให้หลงไหล จนจิตใจต่ำดำมืดไปกับเรื่องราวทั้งร้ายและดี

คนเราจะมีส่วนสูงแค่ไหน เป็นคนเชื้อชาติศาสนาใดเมื่อต้องล้มตัวลงนอนแล้วก็สูงไม่ต่างกัน ถึงจะมีทรัพย์สินเงินทอง มีความรู้ มียศศักดิ์อะไรมากมายก็นอนลงในที่นอนแคบๆนี้เท่านั้นเอง จงหาความสุขให้พบในใจของตัวเอง อย่าคิดพึ่งพาใคร หรือวัตถุสิ่งใด อย่าคิดว่าใครหรืออะไรจะมาช่วยเราให้มีความสุขได้จริง อย่าทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือด ใช้สติ ใช้ปัญญาเพื่อสิ่งดีๆให้แก่ตัวเองและผู้อื่น มีศรัทธามั่นคงในความดีในศาสนาที่ตัวเองนับถือ ใช้ชีวิตลูกด้วยความพอดีชีวิตลูกก็จะพบแต่ความสุข และจะได้นอนหลับฝันดีทุกๆวันตลอดไป”

ลูก “ครับพ่อ เด็กน้อยฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำให้นอนหลับลงได้ในที่สุด”

พ่อ “หลับฝันดีนะลูกรักของพ่อ”



ที่มา : จินตนาการ

Sunday, May 15, 2011

บุญไม่ช่วย

คุณเคยคิดหรือไม่ว่า เมื่อคุณมีความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ อกหัก รักคุด ถูกโกง ลัมเหลวทางธุรกิจ ถูกไล่ออก ตกงาน ฯลฯ ทำไมเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเราทั้งๆที่ชาตินี้เราก็ไม่เคยทำความชั่วใดๆ บุญที่เราเคยทำเหมือนไม่ส่งผลดีให้เราบ้างเลย หากท่านคิดเช่นนั้นเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อาจทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้

ในประเทศจีนสมัยโบราญ มีชายคนหนึ่งมีจิตใจดีงาม ชอบทำบุญทำกุศล เป็นชีวิตจิตใจ เมื่อสมัยหนุ่มๆเคยร่ำรวยถึงขั้นเป็นเศรษฐีแต่ด้วยความศรัทธาในการทำบุญทำทาน ถ้าทราบว่า มีงานบุญ งานกุศลใดที่เป็นงานที่ดีมีประโยชน์แก่ชุมชนและพระศาสนา เมื่อเขาได้รู้เข้าด้วยใจที่เมตตาต่อทุกสรรพชีวิตเสมอกัน ก็มักจะมีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงมักเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพในงานบุญนั้นๆ เสมอ ทำโดยไม่หวังแก่หน้าแก่ตาของตนเองหรือประโยชน์อื่นใดแอบแฝง แถมทำบุญทีละมากๆ ทำอย่างเต็มที่ ทำเป็นประจำและสม่ำเสมอ

ไม่ช้าเงินทองทรัพย์สินที่หาไว้มากมาย ก็มีอันร่อยหลอลงไป มิหนำซ้ำสุดท้ายก็ยังนำทรัพย์สินออกขายเพื่อไปทำบุญอีก ไม่ช้าไม่นานเขาก็ยากจนลงจนไม่มีบ้านอยู่ แถมยังมีหนี้สินติดตัวมากมาย สุดท้ายจึงจำเป็นต้องนำภรรยาสุดที่รักไปใช้หนี้ โดยขายให้เป็นคนรับใช้ของเศรษฐีท่านหนึ่ง ก่อนจากกันด้วยความรักที่ภรรยามีต่อสามี นางจึงได้บอกแก่สามีว่า

“อย่าเสียใจไปเลย ท่านพี่ น้องเต็มใจและยินดีที่จะช่วยเหลือความเดือดร้อนของท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไร ท่านพี่ ก็ดีต่อน้องเสมอมา น้องไม่เคยนึกเสียใจเลย การจากกันครั้งนี้เป็นเพราะความจำเป็นจริงๆ น้องเข้าใจ

แต่น้องอยากจะเตือนพี่ว่า เงินที่เหลือจากการใช้หนี้สินครั้งนี้ น้องอยากให้พี่เก็บไว้ใช้ซื้ออาหารและสิ่งจำเป็น อย่านำไปทำบุญอีก เพราะว่าเป็นเงินก้อนสุดท้าย ซึ่งมีจำนวนเงินเหลืออยู่ไม่มาก ถ้าเงินหมดก็จะทำให้พี่ลำบากถึงที่สุด เพราะทรัพย์สินของท่านพี่ไม่มีเหลือแล้ว ญาตพี่น้องที่จะช่วยเหลือก็ไม่เห็นมี เชื่อน้องนะท่านพี่ น้องเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ” นางกล่าวทั้งน้ำตา ก้มหน้าแล้วเดินตามคนของเศรษฐีไป

ชายคนนั้นยืนร้องไห้ ดูภรรยาเดินจากไปเป็นคนรับใช้ของเศรษฐีด้วยความเศร้าใจ

แต่แล้วไม่นานชายคนนั้นก็นำเงินที่มีอยู่ไม่มากไปทำบุญอีก ตอนนี้จึงกลายสภาพเป็นขอทานหากินเร่ร่อนไปตามตลาด แหล่งชุมชน บ้านเรือน เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นทั่วไป และผู้รู้ถึงที่มาที่ไปของชายคนนั้น ต่างก็ร่ำลือกันไปว่าทำดีแล้วไม่เห็นจะมีความดีมาสนอง ซ้ำต้องกลับกลายเป็นยาจกเข็ญใจเสื้อผ้าขาดเก่ามอซอ ต้องอดมื้อกินมื้อเยี่ยงนี้ ต่อแต่นี้ไปคงไม่มีคนคิดทำความดีกันอีกแล้ว

เรื่องนี้ร้อนไปถึงสวรรค์เบื้องบน บรรดาเทวดาที่ได้ยินคำร่ำลือ และ ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายคนนั้นก็มาร่วมประชุมกันหาทางที่จะช่วยเหลือ
“ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ชายคนนี้ในอดีตชาติได้ทำกรรมหนักมากเอาไว้ สุด ที่จะแก้ไขได้ในชาตินี้และจะต้องทนทุกข์เวทนาแบบนี้ต่อไปทั้งหมดสามชาติ คือ ชาตินี้จะต้องอดตาย ชาติต่อมาจะถูกฟ้าผ่าตาย ชาติสุดท้ายก็จะถูกเสือกัดตาย น่าเวทนาจริงๆ”

เหล่าเทวดาจึงลงมติกันว่า จะช่วยให้ชายผู้นี้ใช้กรรมให้หมดกันในชาตินี้เพียง ชาติเดียว

เนื่องจากช่วงนั้นเกิดความแห้งแล้ง มิหนำซ้ำยังมีฝูงแมลงลงกัดกินพืชไร่ให้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงเกิดภาวะขาดแคลนอาหารอำเภอและหมู่บ้านใกล้เคียง ชาวบ้านต่างกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปวันๆ ชายผู้นั้นจึงไม่สามารถขออาหารมากินได้อยู่หลายวัน ร่างกายซูบผอม จนแทบไร้เรี่ยวต้องนอนหมดแรงในที่พัก เขาตัดสินยังไงวันนี้ก็ต้องหาอาหารให้ได้ จึงรวมแรงทั้งหมดตัดสินใจเดินโซซัดโซเซ ออกจากที่พักเพื่อเดินไปสู่หมู่บ้านเพื่อขออาหารกินประทังชีวิต ทันใดก็เกิดพายุเมฆฝนหอบเอาทั้งฟ้าทั้งฝนมาแบบไม่ตั้งตัว แล้วก็เกิดฟ้าร้องดังสนั่น พร้อมทั้งเกิดฟ้าผ่ามาถูกชายคนนั้นพอดี ร่างกายที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ดำไหม้จากแรงฟ้าผ่า เขานอนสลบแน่นิ่งไปไม่ไหวติง เผอิญมีเสือตัวใหญ่ออกมาจากป่าข้างทางได้กลิ่นเนื้ออันหอมหวานและเห็นเหยื่อนอนนิ่งไร้ทางสู้ คิดแล้วจึงเห็นเป็นโอกาศดี จึงได้ตรงเข้าตะครุบและกัดลำคอจนชายผู้นั้นหมดลมหายใจ มันกัดกินร่างไร้ชีวิตอย่างเพลิดเพลิน จนร่างกระจุยกระจายดุจเป็นซากสัตว์เป็นภาพที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

ภรรยาของชายคนนั้นเมื่อได้มาอยู่บ้านเศรษฐีก็ทำหน้าที่แม่บ้าน มิได้มีลำบากอย่างที่คิดเอาไว้ แถมยังสุขสบายกว่าตอนที่ต้องเป็นหนี้สินอยู่กับชายคนนั้นเสียอีก แต่เมื่อครั้นได้ข่าวว่าสามีของตนเสียชีวิตแล้ว ก็มีความสงสาร จึงขออนุญาตเศรษฐีเพื่อเดินทางมาจัดงานศพให้สามีเป็นครั้งสุดท้าย

ในงานศพวันสุดท้าย ด้วยความเสียใจและสงสารสามี ก่อนจะนำศพลงฝังในหลุม นางได้เอ่ยขึ้นว่า
“เวรกรรมอะไรกันหนอทำให้ท่านต้องเผชิญเคราะห์กรรมถึงเพียงนี้ บุญที่ท่านทำไว้ ไม่ได้ช่วยท่านเลย ๆ” พูดพลางน้ำตานางก็ไหลเป็นทาง สะอึกสะอื้นด้วยความเวทนาอย่างสุดจะหักห้ามใจได้
นางตัดสินใจกัดนิ้วตัวเอง แล้วใช้เลือดที่ไหลออกมาเขียนที่หน้าผากสามีไว้ว่า “บุญ ไม่ ช่วย” แล้วจึงทำการฝังศพ และ นางได้อยู่จนจัดงานพิธีเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วจึงกลับไปหาท่านเศรษฐีดังเดิม

ต่อมาไม่นานฮ่องเต้ของแผ่นดินจีนท่านทรงดีพระทัยมาก ที่พระมเหสีได้ให้กำเนิดพระราชโอรสองค์แรก อันเป็นความหวังว่าจะได้สืบทอดราชบรรลังค์ของกษัตริย์สืบต่อไป แต่ไม่นานก็ทรงกังวลพระทัยเพราะทารกน้อยที่เกิดมา ทรงร้องไห้ตลอดเวลา ปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด มิหนำซ้ำบนหน้าผากก็มีอักษรเขียนไว้ด้วยว่า “บุญ ไม่ ช่วย” ไว้ด้วย

ฮ่องเต้ได้ทรงปรึกษาโหรหลวง ๆ ก็ได้แนะนำให้ป่าวประกาศว่าผู้สามารถทำให้พระราชโอรสหยุดร้องไห้ได้ จะมอบรางวัลให้แล้วแต่จะขอ และ ยังได้บรรยายไว้ว่าบนหน้าผากทารกมีลักษณะพิเศษคือมีคำสามคำ คือ บุญ ไม่ ช่วย อยู่ด้วย

ไม่นานข่าวก็มาถึงภรรยาของชายคนนั้น นางจึงได้เข้าเฝ้าและขอดูทารกเพื่อให้แน่ใจ เมื่อนางได้ดูตัวอักษรที่อยู่บนหน้าผากเป็นลายมือของตน จึงแน่ใจว่าชายผู้เป็นสามีได้มาเกิดเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์แล้ว จากการทำความดีชนิดหาคนเทียบไม่ได้เลย นางจึงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“หยุดร้องไห้เสียทีเถอะ ข้ารู้แล้ว ๆบัดนี้บุญที่ท่านพี่ทำไว้ได้ส่งผลดีให้กับท่านแล้ว เงียบเสียทีเถิด”

ว่าพลางนางใช้มือลูบไปที่หน้าผาก พลันตัวอักษรก็หายไปในทันที ทารกก็หยุดร้องไห้ทันที เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ที่ยืนดูอยู่ยิ่งนัก

ฮ่องเต้มีสีหน้าพอพระทัยยิ่งนัก จึงเอ่ยถามว่า
“เจ้าทำได้ดีมาก ท่านต้องการอะไร ข้าจะประทานให้ทุกอย่าง”

“ข้าไม่ต้องการเงินทองทรัพย์สินสิ่งใด เพียงขอให้ได้ดูแลปรนนิบัติ เจ้าชายน้อย ข้าก็พอใจมากแล้ว” นางตอบ

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอแต่งตั้งเจ้าดำรงตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงของพระโอรสของข้า เจ้ามีอิสระสามารถจะเข้าออกส่วนต่างๆในวังได้ตลอดโดยไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด”

ตั้งแต่นั้นมาภรรยาของชายคนนั้นก็อยู่อย่างมีความสุข จากการเป็นอยู่ที่สุขสบายและได้ดูแลพระโอรสจนเติบใหญ่ขึ้นมา

เมื่อกรรมชั่วที่ทำไว้ได้หมดสิ้นไปแล้ว ทุกคนล้วนต่างได้รับความสุขจากผลกรรมดีทีสร้างไว้ อันเป็นกรรมที่รอแต่เพียงเวลาที่จะให้ผลเท่านั้นเอง

การทำกรรมชั่วซ้ำเติมตัวเอง ในขณะที่มีความทุกข์โดยคิดว่า "บุญไม่ช่วย"นั้นเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างร้ายกาจ เพราะเรากำลังทำกรรมใหม่ที่จะให้ผลเสริมกรรมเก่าเหมือนสาดน้ำมันเข้าไปในกองไฟที่กำลังไหม้อยู่อย่างนั้น แทนที่ไฟกำลังใกล้มอดลงเพราะหมดเชื้อแห่งกรรมเก่า กลับลุกโชนขึ้นใหม่เพราะกรรมชั่วในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการทำความดีควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัญญาและความเหมาะสมด้วย จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น

ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะได้รับเคราะห์กรรมหนักหนาสักเพียงใด ขอให้ใช้ความอดทน ใช้สติปัญญาแก้ไขไปตามความเหมาะสม ความทุกข์เป็นบทเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ถ้าเรารู้จักที่จะเรียนรู้จากมัน จงมีความหวังไว้เสมอ มีศีลห้าเป็นอย่างน้อย เร่งทำในสิ่งที่ถูกที่ควร และอย่าท้อแท้ในการทำความดีนะครับ ผลกรรมดีอาจรอท่านอีกไม่นานก็ได้ หลังฝนซาฟ้าย่อมสดใสเสมอครับ




ที่มา : กฎแห่งกรรม ของ คุณ ท.เลียงพิบุลย์

คำถาม ๓ ข้อ

    พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถ 
แต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ.... 
พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการ ดังต่อไปนี้แล้ว 
จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ 

1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง 

2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย 

3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา 

พระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ 
จะได้รับรางวัลมหาศาล ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน.... 

คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำราตางเวลาที่แน่นอน 
สำหรับภารกิจแต่ละอย่าง ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ทุกๆ ปี 
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม.... 

คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้น 
แล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด 
แล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่าง 
จึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร.... 

คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจ ต่างๆ 
ที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง.... 
สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี "สภาแห่งคนฉลาด" และทำตามคำแนะนำของสภานั้น 
แต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้ 
ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น.... 
พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์ 

ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไป 
คนที่ 1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่ 
คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวช 
คนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบ 

คำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกัน 
คนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา 
คนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหาก 
คนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงคราม 
พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่ง 
ผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง.... 
ทั้งๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวย 
หรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนา 
และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา 
ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง 
พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น.... 
ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม 

เมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป.... 
เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้ว 
แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไป 
พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า 
"ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน 
ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ 
1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง 
2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย 
3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา 
ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่ 
่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไป 
จักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ".... 
ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น 
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด 
และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง.... 
ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบ 
และบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ....ฉันทำต่อไปได้แล้ว".... 
แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป 
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา 

จักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า 
"ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม 
หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม" 
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า 
"เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร 
ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิด 
ออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้อง 
เขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป.... 
ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิ 
และฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น.... 
จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล 
แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียว.... 
เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด 
จักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สอง 
และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล.... 

เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ 
จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง 
ขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว 
และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว.... 
ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อม 
และให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป 
จักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน.... 
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวัน 
และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า.... 
แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน 
และมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที... 
และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย 
พอเห็นจัรกรพรรดิ์ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า 
"ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย" 
"แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ 
"ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี 
พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้ 
และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาต 
ข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ 

เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง 
ข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ.... 
แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา 
แต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า 
พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บ 
แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่ 
ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว 
ข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก.... 
หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป 
และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย.... 
ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด" จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนัก 
ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย.... 

นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ 
ที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล.... 
จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย 
พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว 
จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้ง 
เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้ายและพบว่า 
ฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว้ 
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ 
"คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่" 
"อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง.... 

"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดิน 
ท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับ 
และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน 
ดังนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้น 
ก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน 
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน.... 
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน" 

"จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด.... 
ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป 
และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา 
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น 
ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา".... 

จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" 
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง 

บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ 
คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ 

และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข 
เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"....




ที่มา : เรื่องในหนังสือของตอลสตอย